วิธีเก็บข้อมูลด้วย Conversion API

แก้ปัญหา Facebook Pixel เก็บข้อมูลไม่ครบถ้วน

ก่อนอื่น คุณอาจกำลังใช้งาน Conversion API อยู่แล้วก็ได้นะ...

พอ Facebook มีการแจ้งเตือนให้คนยิงแอดหันไปใช้ Conversion API ก็มีทั้ง Plugin สำหรับ WordPress และผู้ให้บริการ Sale Page หลายรายที่เพิ่มฟังก์ชั่นนี้เข้าไป สังเกตุได้ง่ายๆก็คือ นอกจาก Pixel ID แล้ว เวลาติด Pixel คุณยังได้มีการใส่ Access Token เพิ่มเข้าไปด้วย

เยี่ยมครับ! นั่นคือทางลัดที่เร็ว และง่ายที่สุด แต่…

สิ่งที่ไม่เคยมีใครบอกคุณก็คือ Event ที่คุณจะสามารถเก็บด้วย Conversion API ได้ จะมีแต่เฉพาะ Standard Event ครับ (หรือที่แย่กว่านั้น ก็คือมีเฉพาะ Event ที่ผู้ให้บริการ Sale Page เขาตั้งค่าไว้ให้)

คุณจะไม่สามารถเก็บ Custom Event หรือพฤติกรรมตามที่คุณอยาก Track ด้วย Conversion API ทั้งหมดได้

มาถึงตรงนี้ ถ้าคุณหลงเข้ามา และกำลัง งงสุดๆว่า Event คืออะไร Standard กับ Custom ต่างกันยังไง หรืองงถึงขนาดว่าทำไมต้องใช้ Pixel เก็บข้อมูลอะไรมากมายขนาดนั้น เก็บแล้วมันจะยิงแอดดีขึ้นยังไง แนะนำให้ลองดู 4 ขั้นตอนการยิงแอดที่เข้าถึง “คนซื้อตัวจริง” ได้ด้วยข้อมูลครับ คลิกที่นี่ เลยครับ

เอาง่ายๆว่า ถ้าคุณยังยิงแอดไปแล้วเจอแต่คนทัก แต่ไม่มีคนซื้อ รีบคลิก ไปดูเลยครับว่าคนที่ยิงแอดแล้วขายได้เยอะๆเขาเล่นยังไงกัน

คราวนี้ ถ้าคุณพอใจกับการเก็บข้อมูลเฉพาะ Standard Event อยู่แล้ว ก็ปิดหน้านี้ออกไปได้เลยครับ วิธีที่คุณกำลังจะได้เห็นมันซับซ้อน น่าปวดเศียรเวียนเกล้า อย่าไปเสียเวลากับมันเลย

เอาล่ะ!!!

ถ้าคุณรู้ถึงความจำเป็นที่จะต้อง Track ให้ละเอียด เพื่อเอาข้อมูลไปใช้แล้วล่ะก็…

การตั้งค่า Conversion API เก็บข้อมูลจาก Server มีแค่ 5 ขั้นตอนเท่านั้นเองครับ!!!

1. ใช้ Google Tag Manager (GTM) ติด Facebook Pixel

Rule Of Thumb ที่ Facebook แนะนำคือ เก็บข้อมูลด้วย Facebook Pixel เหมือนเดิมก่อน แล้วค่อยเพิ่ม Conversion API เข้าไปเก็บคู่กันครับ

ดังนั้น ก่อนอื่นเราก็ต้องติด Pixel และตั้งค่าเก็บข้อมูล Event ต่างๆด้วย Pixel ตามปกติก่อนครับ

แต่เนื่องจากเดี๋ยวเราจะต้องส่งข้อมูลด้วย Conversion API อีกทาง วิธีที่ผมแนะนำที่สุด คือใช้ GTM ในการติด Pixel ครับ

ถ้าคุณยังไม่เคยใช้ GTM ติด Pixel มาก่อน อยากจะบอกว่ามันสามารถเก็บข้อมูลให้คุณได้อย่างละเอียดยิบเลยล่ะครับ คนเข้าเว็บอ่านคอนเทนต์ถึงไหน ใช้เวลาอยู่ในหน้าเว็บกี่นาที หรือคลิกปุ่มไหนบ้างก็ Track ได้หมดเลยล่ะครับ

2. สร้างช่องทางรับส่งข้อมูลผ่าน Server ขึ้นมาเพิ่ม

สิ่งที่เราพึ่งทำไป ในภาษาของ GTM คือการติด Facebook Pixel ด้วย Web Container ครับ จากนั้นเราจะต้องสร้างช่องทางเก็บข้อมูลผ่าน Server ขึ้นมาเสริม ซึ่งใน GTM เราเรียกมันว่า Server-Side Container ครับ

3. ส่งข้อมูล Track ของ Pixel มาให้ Server ด้วย

เมื่อมีช่องทางเก็บข้อมูลผ่าน Server แล้ว เราก็ทำการส่งข้อมูลที่เก็บด้วย Pixel มาให้ทางฝั่ง Server ด้วย โดยที่งานนี้ มี Agent ที่ชื่อ GA4 คอยทำหน้าที่ส่งข้อมูลจาก Web Container มาที่ Server-Side Container ครับ

4 .ส่งข้อมูลจาก Server ไปให้ Facebook ด้วย Conversion API

พอฝั่ง Server ได้รับข้อมูลการ Track มาแล้ว เราก็แค่ใช้ Conversion API ส่งข้อมูลจาก Server-Side Container ไปให้ Facebook อีกทาง เท่านี้ Facebook ก็จะเก็บข้อมูลได้ทั้งทาง Pixel (Web Container) และ Conversion API (Server-Side Container) ง่ายๆแค่นี้เองครับ

ผลลัพธที่ได้ คือ ที่ Event Manager เราจะเห็นการเก็บข้อมูลจากทั้ง Browser และ Server เป็นอันเสร็จสิ้นพิธีส่งข้อมูลด้วย Conversion API ครับ

แต่เรื่องราวยังไม่ Happy Ending นะ!

สาเหตุที่เราเพียรพยายามเก็บข้อมูลส่งไปให้ Facebook เนี่ย เพราะเรารู้ว่าถ้า Facebook มีข้อมูลเยอะ มันก็จะสร้างผลลัพธืให้เราได้แม่นยำขึ้นใช่ไหมล่ะครับ?

แต่ Conversion API ที่เราพึ่งส่งไป ตอนนี้ยังเป็นแค่ข้อมูลกลวงๆ ระบุคนทำ Event ได้ไม่ชัดเจนเท่าไหร่ ลองดูที่ Event Match Quality ในภาพบนสิครับ ได้แค่ 3.3 เต็ม 10 คะแนนเท่านั้นเอง

ในขั้นตอนสุดท้าย เราเลยต้องอัพเกรดข้อมูลของเราให้ถึงลูกถึงคนยิ่งขึ้นครับ

5. ทำ Advance Matching เก็บข้อมูลเจาะลึก

ก่อนอื่น ข้อมูลแรกที่เราจำเป็นต้องส่งไปก็คือ Event ID ครับ

เนื่องจากตอนนี้ ข้อมูลของเราถูกส่งไปทั้งทาง Pixel และทาง Conversion API ถ้าเราไม่ระบุ Event ID ไปด้วย Facebook อาจจะงง และนับ 1 Event ว่าเกิดขึ้น 2 ครั้ง

แต่ถ้าใส่ Event ID ไปให้เรียบร้อย Facebook ก็จะรู้ และ Deduplicate หรือลบ Event ที่มาจาก Conversion API ทิ้งไป ในกรณีที่ได้รับข้อมูลนั้นมาจาก Pixel แล้ว

ซึ่งแน่นอน ถ้าคนเข้าเว็บมีการบล็อค Cookie จน Pixel ส่งข้อมูลไม่ได้ เจ้า Conversion API ก็จะกลายเป็นพระเอกครับ

และขั้นตอนสุดท้าย เราก็จะมาส่งข้อมูลที่มันลึกเพิ่มเข้าไปอีก

Event สำคัญๆอย่าง Purchase หรือการซื้อ โดยปกติจะมีการเก็บข้อมูลราคา ชื่อ และอีเมลล์ลูกค้าอยู่แล้ว เราก็จัดส่งข้อมูลเหล่านั้นไปให้ Facebook ด้วยซะเลย มันจะได้เอาไปช่วยประมวลผลหาคนที่มีโอกาสซื้อสูงตามข้อมูลนี้มาให้เราได้

ผลลัพธ์สุดท้าย คุณภาพข้อมูลที่ส่งไปให้ Facebook ก็จะได้ประมาณนี้ครับ

และนั่นคือ 5 ขั้นตอนที่คุณต้องทำ เพื่อเก็บข้อมูลด้วย Conversion API ซึ่งเป็นวิธีเก็บข้อมูลที่ดีที่สุดในปัจจุบัน จบปัญหาความกังวลใจเรื่อง Third Party Cookie ที่กำลังหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ

ลองเอาไปทำตามกันดูนะครับ

แต่… ถ้าอ่านดูแล้วงง ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง คลิกตรงไหน ตั้งค่าอะไรบ้าง ผมมีคอร์สที่ชื่อ Conversion API Master สอนเรื่องนี้อย่างละเอียดยิบ เปิดอยู่ครับ

รายละเอียดคอร์สเป็นยังไงบ้าง คลิกไปดูได้เลยครับ

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมายบน Social Media

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ ที่มีอยู่บน Social Media เพื่อให้ผมสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหาให้ตรงกับความเหมาะสม และความสนใจของคุณได้ครับ หากคุณไม่ยินยอมให้ใช้คุกกี้นี้ ผมจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหา และโฆษณาได้ตรงตามความสนใจไปให้กับคุณบน Social Media ช่องทางต่างๆได้

บันทึกการตั้งค่า